Search

พรรคการเมืองกับกฎหมายพรรคการเมืองของประเทศไทย
  • Share this:

พรรคการเมืองกับกฎหมายพรรคการเมืองของประเทศไทย

พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทน ที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบันที่ต้องศึกษาให้ทราบถึงความหมายของพรรคการเมือง หลักการพื้นฐานพรรคการเมือง ความสำคัญและหน้าที่ของพรรคการเมือง การจัดองค์กรของพรรคการเมือง ประเภทและระบบของพรรคการเมือง รวมไปถึงทราบถึงแนวคิดหรือวิวัฒนาการพรรคการเมืองของประเทศไทยและกฎหมายพรรคการเมือง ดังนี้
1. หลักทั่วไปของพรรคการเมือง
พรรคการเมือง ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Political Party” หรือโดยทั่วไปมักใช้คำว่า “Party” คำเดียวต่อท้ายชื่อพรรค เช่น The Conservative party ในประเทศอังกฤษหรือ The Democratic party ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
1.1 ความหมายและหลักพื้นฐานของพรรคการเมือง
พรรคการเมืองหมายถึงอะไรและมีหลักการพื้นฐานของการเป็นพรรคการเมืองเป็นอย่างไร นั้นสามารถอธิบายโดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.1.1 ความหมายของพรรคการเมือง
ความหมายพรรคการเมืองที่ให้คำนิยามของคำว่า "พรรคการเมือง" ในต่างประเทศและในประเทศไทย ต่างก็ให้ความหมายพรรคการเมืองที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือ ในต่างประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนี กฎหมายพรรคการเมืองได้ให้คำจำกัดความสำหรับคำว่า "พรรคการเมือง" ไว้ในมาตรา 2 อนุมาตรา 1 ว่า "พรรคการเมือง คือ การรวมกลุ่มของพลเมืองอย่างถาวรหรือเป็นระยะเวลานานๆ เพื่อเข้าไปมีอิทธิพลต่อการสร้างเจตจำนงทางการเมืองไม่ว่าจะดำเนินการในระดับสหพันธ์หรือระดับมลรัฐและประสงค์ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธ์หรือสภาแห่งมลรัฐ หากว่าเมื่อพิจารณาถึงภาพรวมตามสภาพความเป็นจริงทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของจำนวนสมาชิกและในแง่ของการปรากฏตัวต่อสาธารณชนแล้ว ชี้ชัดว่าการรวมกลุ่มนี้มีความตั้งใจที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้" เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยได้ให้ความหมายพรรคการเมืองไว้ เช่น
ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ให้ความหมายว่า “พรรคการเมือง หมายถึง คณะบุคคลซึ่งร่วมก่อตั้งเป็นพรรคขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะรวบรวมความคิดเห็นในทางการเมือง กำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งผู้แทน โดยวิถีทางประชาธิปไตย”
ศาสตราจารย์ ดร. เกษม อุทยาทิน ให้ความหมายว่า “พรรคการเมือง คือ กลุ่มของพลเมืองซึ่งมีความคิดเห็นในปัญหาสาธารณะร่วมกันและปฏิบัติการร่วมกัน (Oganized) เป็นหน่วยการเมืองเพื่อแสวงหาการควบคุมรัฐบาล โดยตั้งใจส่งเสริมการกำหนดการ (program) และนโยบาย (policy) ซึ่งเขาเชื่อถือ”
ศาสตราจารย์ จรูญ สุภาพ ให้ความหมาย “พรรคการเมืองเป็นกลุ่มของเอกชนที่มีผลประโยชน์คล้ายคลึงและความต้องการอย่างเดียวกัน โดยรวมกันขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะเข้าควบคุมและกำหนดนโยบายของรัฐโดยการเอาชนะในการเลือกตั้ง การออกกฎหมายและการบริหาร”
จากคำนิยามความหมายของพรรคการเมืองของต่างประเทศและของประเทศไทยข้างต้นผู้เขียนขอสรุปประเด็นความหมายของการเป็นพรรคการเมืองได้ดังนี้
1.ต้องมีการรวมตัวเป็นกลุ่ม ชมรม หรือสมาคม (Association) ซึ่งจะมีสมาชิกหรือจำนวนบุคคลมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศจะบัญญัติไว้
2.กลุ่มบุคคล ชมรม หรือสมาคม ต้องมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาสาธารณะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในหลักการใหญ่ๆที่เหมือนกัน
3.กลุ่มบุคคลที่ร่วมกันนี้ ต้องมีกำหนดการ (program) และนโยบาย (policy) ที่ชัดแจ้งและแน่นอนลงไป แสดงต่อผู้เลือกตั้งให้ทราบเพื่อจะได้มีชัยชนะในการเลือกตั้ง
4.กลุ่มบุคคลจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะไปควบคุมและกำหนดนโยบายรัฐบาลจัดการบริหารประเทศและออกกฎหมายตามแนวนโยบายของพรรคทั้งหมดหรือบางส่วนเท่าที่สามารถจะทำได้มากที่สุด
1.1.2 หลักการพื้นฐานพรรคการเมือง
เมื่อพิจารณาตามหลักธรรมชาติในการรวมของมนุษย์เป็นสังคมจะมีลักษณะของการรวมตัวแบบชุมชนและการรวมตัวแบบสมาคม ซึ่งพรรคการเมืองจะเป็นการรวมตัวแบบสมาคมทีมีหลักการพื้นฐานอยู่ 2 ประการ คือ
1.การแตกต่างกันในความคิดเห็น ทุกคนย่อมมีความคิดเห็นเป็นเอกเทศ แต่โดยธรรมชาติแล้วก็มีความต้องการที่จะอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงควรปรับความคิดเห็นให้เข้ากับบุคคลอื่นได้บนหลักพื้นฐานทางความคิดบางอย่าง
2.การรวมตัวกันอยู่เป็นหมู่เหล่า บุคคลที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ควรร่วมกันนำเอาความคิดเหล่านั้นก้าวไปข้างหน้าด้วยวิธีการที่มีระเบียบและส่งเสริมสนับสนุนหลักการหรือนโยบายซึ่งมีความเห็นชอบร่วมกัน
ดังนั้นสรุปได้ว่าพฤติกรรมของพรรคการเมืองดำเนินการอยู่ในขณะนั้นก็คือ การรวมกลุ่มบุคคลของผู้มีความคิดเห็นคล้ายกัน ในเรื่องลัทธิการเมืองการปกครอง สังคมและเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้วิธีการคัดเลือกสมาชิกของพรรคเข้าแข่งขันรับเลือกตั้งเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารหรืออย่างน้อยที่สุด เพื่อไปทำหน้าที่สอดส่องการดำเนินงานของรัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) ในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ตามหลักการปกครอบแบบนิติรัฐที่ยึดหลักนิติธรรม
1.2 ความสำคัญและหน้าที่ของพรรคการเมือง
พรรคการเมืองนับเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทางผู้แทนเป็นอย่างมากและมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1.2.1 ความสำคัญของพรรคการเมือง
พรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในขั้นตอนของกระบวนการทางการเมือง พรรคการเมืองมีส่วนที่จะสนับสนุนและเสริมสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองจึงเป็นที่รวบรวมบุคคลที่มีความเห็นแตกต่างกันออกไป ให้เข้าร่วมอุดมการณ์ในหลักการใหญ่ๆซึ่งบุคคลเหล่านั้นอาจจะยอมรับร่วมกันได้ พรรคการเมืองจะได้เป็นแกนนำในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนเหล่านั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้มีความคิดเห็นร่วมกัน ทำหน้าที่จัดการปกครองประเทศ ความสำคัญของพรรคการเมืองอาจแยกอธิบายเป็นข้อๆได้ดังนี้
1.พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากมีโอกาสสำคัญในการที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งก็จะสามารถนำวัตถุประสงค์ แนวนโยบายและความคิดเห็นของพรรคไปใช้ให้เป็นจริงได้ และนำนโยบายของพรรคการเมืองนั้นเป็นนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
2.พรรคการเมืองเป็นศูนย์กลางที่จะรับทราบความคิดเห็น ตลอดจนความต้องการของประชาชน ประชาชนต้องการให้รัฐบาลทำอะไร ไม่ให้ทำอะไร หรือออยากให้ตรากฎหมายหรือยกเลิกกฎหมายใดบ้าง
3.พรรคการเมืองจะเป็นศูนย์กลางที่จะแยกแนวความคิดของประชาชนแต่ละฝ่ายออกจากกันให้เห็นชัดเจน จนอาจแบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายเป็นกลางในสภานิติบัญญัติ
4.พรรคการเมืองจะเป็นผู้ประสานงานระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้ดำเนินการปกครองประเทศไทยโดยราบรื่น
1.2.2 หน้าที่ของพรรคการเมือง
โดยที่พรรคการเมืองเป็นองค์กรสำคัญในกระบวนการทางการเมืองที่จะรวบรวมเจตนารมณ์ทั่วไป (General Will) ของประชาชนไปใช้ในการดำเนินการปกครองประเทศให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง พรรคการเมืองจึงต้องมีหน้าที่ ดังนี้
1. สร้างความเป็นปึกแผ่นในมติมหาชน ด้วยการรวบรวมความคิด ความเห็นของกลุ่มชนที่มีความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน มาจัดเป็นนโยบายหลักของพรรค เพื่อที่จะนำนโยบายนั้นนำเสนอต่อรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
2. จัดแถลงนโยบายของพรรคให้ประชาชนทราบ เพื่อประชาชนจะได้นำเอาไปพิจารณาศึกษาประกอบการตัดสินในการที่จะให้ความสนับสนุนพรรคด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคก็ดีหรือลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้สมัครของพรรคเข้าเป็นผู้แทนฯก็ดีในเมื่อมีการเลือกตั้ง
3.คัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง พร้อมทั้งสร้างผู้นำทางการเมืองไว้เสมอด้วยการจัดตั้งรัฐบาลเงา (Shado Cabinet)
4.ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคได้รับเลือกตั้งเข้ามาจำนวนมาก จนนับได้ว่าได้รับเสียงข้างมากในสภาก็จะต้องทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล หรือเป็นแกนนำในการจัดตั้งรับบาลบริหารราชการประเทศต่อไป ตามแนวนโยบายของพรรคที่เคยแถลงไว้ต่อประชาชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการดำเนินงานที่พรรคสามารถบรรลุถึงจุดสุดยอดแห่งจุดมุ่งหมาย
5.ถ้าพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างน้อยในสภา และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะต้องทำหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน คอยควบคุมการบริหารงานของรัฐบาลด้วยวิธีการกลั่นกรองการออกกฎหมาย การตั้งกระทู้ถาม หรือเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือทั้งคณะ เพื่อสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติและสร้างความผาสุกให้กับประชาชน
6.พรรคการเมืองจะต้องทำหน้าที่คอยเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างกลุ่มต่างๆ อาทิ กลุ่มอิทธิพล (Pressure group) กลุ่มผลประโยชน์ (Interest group) กับรัฐบาล พร้อมทั้งต้องคอยสำรวจตรวจสอบมติมหาชนอยู่เสมอ เพราะกลุ่มเหล่านั้นจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายสอดคล้องกับกลุ่มของตนให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง เพื่อจะให้เป็นรัฐบาลและช่วยรักษาผลประโยชน์ให้พวกตน
7.พรรคการเมืองจะต้องคอยควบคุมให้สมาชิกพรรค อยู่ในระเบียบวินัยของพรรคอย่างเคร่งครัด อาทิในเรื่องการเข้าประชุมสภา การอภิปรายในเรื่องสำคัญๆ การลงมติ ฯลฯ จะต้องกระทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ หรือตามที่พรรคกำหนด พรรคการเมืองในปัจจุบันจึงต้องมีการจัดตั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลของพรรคการเมือง คอยควบคุมดูแลในสภาเวลาที่มีการประชุมสภา
8.ส่งเสริมให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมืองของประเทศ โดยให้การอบรมศึกษาความรู้ทางการเมืองแก่ประชาชน แจกจ่ายเอกสาร กล่าวปราศรัยและใช้สื่อมวลชนต่างๆ ส่งข่าวให้ประชาชนได้ทราบความเป็นไปของบ้านเมืองในทางที่ถูกที่ควร
1.3 การจัดองค์กรของพรรคการเมือง
การจัดองค์กรของพรรคการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพรรคการเมืองว่ามีความมั่นคงแค่ไหน สมควรจะมอบหมายให้รับภารกิจเป็นตัวแทนของประชาชนไปทำหน้าที่บริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งอาจจะพิจารณาถึงโครงสร้างการดำเนินงานของพรรคการเมืองว่าการจัดองค์กรและการจัดการพรรคการเมืองที่ดีนั้นควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.3.1 การจัดรูปองค์การของพรรคการเมือง
การจัดรูปองค์การของพรรคการเมือง จะต้องมีการแบ่งงานออกเป็นสาขาต่างๆ และกำหนดการบังคับบัญชาจากส่วนกลางมายังส่วนภูมิภาคจนถึงระดับท้องถิ่นเพื่อช่วยในการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น การจัดให้มีสาขาพรรคการเมืองแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละเขตเลือกตั้งรวมไปถึงศูนย์ประสานงานพรรคในแต่ละตำบล เป็นต้น
1.3.2 กลไกของพรรคการเมือง
กลไกของพรรคการเมือง การทำงานทุกส่วนภายในพรรคจะต้องมีการประสานกัน จึงจะทำให้กิจกรรมของพรรคดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มีหน่วยงานในงานสาขาที่จำเป็นและมีหัวหน้ารับผิดชอบ อันได้แก่ สำนักงานเลขาธิการฝ่ายการรณรงค์หาเสียง ฝ่ายนโยบายและการเมือง ฝ่ายการคลังและองค์การสนับสนุนต่างๆ เป็นต้น


1.3.3 นโยบายพรรคการเมือง
นโยบายพรรคการเมือง ควรจะมีการวางกรอบนโยบายของพรรคไว้อย่างกว้างๆ เพื่อให้สามารถมีความคล่องตัวในการแก้ไขหลักการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และนโยบายของพรรคสมควรจักต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมพรรคแล้วประกาศให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ
1.3.4 การเงินของพรรคการเมือง
การเงินของพรรค เงินเป็นปัจจัยยิ่งในการบริหารงานของพรรค ให้ดำเนินบรรลุเป้าหมายที่พรรคกำหนดไว้ เพราะพรรคจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการหาเสียงการพิมพ์เอกสาร อุปกรณ์และเครื่องใช้ในสำนักงาน สำหรับเงินของพรรคอาจมีที่มาได้หลายทาง เช่น ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ ได้รับจากสมาชิกและการจัดหารายได้ทางอื่น เป็นต้น
1.4 ประเภทของพรรคการเมือง
ถ้าจะพิจารณาถึงเรื่องความนิยมที่สืบทอดมาจากสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองแล้ว พรรคการเมืองอาจแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองมีแนวนโยบายใหญ่ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.4.1 พรรคการเมืองประเภทที่นิยมเปลี่ยนตามกาลเทศะ
พรรคการเมืองประเภทนิยมการเปลี่ยนแปลงตามกาลเทศะ (Liberals) เป็นพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกเสรีนิยม มีความเป็นกลางระหว่างพวกอนุรักษ์นิยมกับสังคมนิยม
1.4.2 พรรคการเมืองประเภทอนุรักษ์นิยม
พรรคการเมืองประเภทประเภทอนุรักษ์นิยม (Conservative) พรรคแบบนี้จะพยายามรักษาระเบียบแบบแผนซึ่งเป็นของเดิมไว้ส่วนกลาง
1.4.3 พรรคการเมืองประเภทนิยมการฟื้นฟูสถาบัน
พรรคการเมืองประเภทนิยมการฟื้นฟูสถาบัน (Reactionaries) พรรคระบบนี้เป็นพวกที่ชอบฟื้นฟูแผนเก่าและเทิดทูนคนเก่าโดยถือว่าอดีตคือยุคทอง
1.4.4 พรรคการเมืองประเภทนิยมความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ประเภทนิยมความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง (Radicals) พรรคแบบนี้เป็นพวกที่ชอบให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยต้องการรื้อของเก่าทั้งหมดและสร้างของใหม่ขึ้นมาแทน หรืออาจเรียกได้ว่า “พวกนิยมแนวทางปฏิวัติ”
นอกจากการแบ่งประเภทโดยนำสภาพแวดล้อมมาเป็นเครื่องกำหนดแนวนโยบายตามที่กล่าวมาแล้ว การแบ่งประเภทพรรคการเมืองยังอาจแยกย่อยไปตามกลุ่มอาชีพ กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มพ่อค้า นายทุน ขุนศึก กลุ่มการเมือง กลุ่มศาสนา ฯลฯ ดังเช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรครักประเทศไทย พรรคกิจสังคม พรรคภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
1.5 ระบบพรรคการเมือง
เมื่อพิจารณาถึงระบบพรรคการเมืองว่าในประเทศใดมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่สภาพการปกครองของประเทศที่แตกต่างกันออกไป ระบบพรรคการเมืองนั้นอาจแยกออกเป็น 3 ระบบ ด้วยกัน ดังนี้
1.5.1 ระบบพรรคเดียว
ระบบพรรคการเมืองที่เป็นระบบพรรคเดียว (Single Party System) อาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ลักษณะ คือ พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ผูกขาดโดยข้อกฎหมายกับพรรคการเมืองพรรคเดียวโดยข้อเท็จจริง ดังนี้

1.5.1.1 พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ผูกขาดโดยข้อกฎหมาย
พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ผูกขาดโดยข้อกฎหมาย เป็นผู้ปกครองประเทศตามรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นว่าประเทศนั้นๆมีพรรคการเมืองชื่อนั้นนำการปกครองประเทศ ซึ่งมักเกิดขึ้นในประเทศที่นิยมความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและประเทศแบบนี้มักมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรัฐบาลโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร กับมีแนวโน้มที่จะปกครองในรูปแบบเผด็จการหรือบางประเทศที่แฝงคำว่าประชาธิปไตยบังหน้า เช่น ประเทศจีน มีพรรคคอมมิวนิสต์เพียงพรรคเดียวที่รัฐยอมให้จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายและทำหน้าที่ปกครองประเทศ เป็นการใช้พรรคการเมืองพรรคเดียวเป็นผู้จัดการปกครอง เป็นต้น ดังนั้นประเทศที่ใช้ระบบพรรคเดียว เหล่านี้ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งผู้แทนฯตามรัฐธรรมนูญ แต่ผู้แทนฯเหล่านั้นก็สังกัดอยู่ในพรรคเดียวกันทั้งสิ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีพรรคการเมืองพรรคเดียวดังกล่าวแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้ง
1.5.1.2 พรรคการเมืองพรรคเดียวโดยข้อเท็จจริง
ปกครองประเทศสืบต่อกันมา เนื่องจากประชาชนสนับสนุนตลอดมา รัฐธรรมนูญบางประเทศกำหนดให้มีการเมืองได้หลายพรรคและในการแข่งขันเลือกตั้งพรรคการเมืองต่างๆแต่ละพรรค ก็ได้มีโอกาสส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันเลือกตั้งเช่นกัน แต่ก็จะมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดและได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลปกครองประเทศของตนอีก ทั้งนี้ก็เพราะเกิดจากการที่พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับประชาชนเพราะได้ทำให้ประชาชนเกิดความนิยม เชื่อมั่นและศรัทธาในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคนี้เท่านั้น พร้อมทั้งมีความฝังใจว่าพรรคการเมืองนี้เท่านั้นที่จะสามารถปกครองประเทศได้ ทำให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านอื่นๆอยู่นอกสายตาประชาชน ถึงแม้ว่าจะรณรงค์หาเสียงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคฝ่ายรัฐบาลที่ครองอำนาจมานานนั้นได้
ข้อสังเกต พรรคการเมืองพรรคเดียวโดยข้อเท็จจริงนี้มิใช่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ได้รับเลือกตั้งเสมอไป หากแต่ก็มีพรรคการเมืองอื่นๆที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปบ้างเหมือนกัน แต่ก็เป็นเพียงเสียงน้อยที่ไม่สามารถทำประการใดให้กระทบกระเทือนเสถียรภาพของพรรครัฐบาลที่อยู่ในอำนาจมานานฝังใจประชาชนได้
ข้อสังเกต ลักษณะของพรรคการเมืองพรรคเดียวโดยข้อเท็จจริงนี้นักกฎหมายและนักรัฐศาสตร์บางท่านยังไม่เห็นด้วยนัก พร้อมทั้งยืนยันว่าน่าจะจัดอยู่ในประเภทของการมีพรรคการเมืองหลายพรรคมากกว่าที่จะนำมาจัดอยู่ในประเภทพรรคการเมืองพรรคเดียว โดยมีประเด็นข้อหักล้างเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวตลอดมา เพราะได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง กับการที่ประเทศให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคส่งผู้สมัครแข่งขันเข้ารับเลือกตั้งได้นั้นเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน
1.5.2 ระบบสองพรรค
ระบบสองพรรค (Two Party System) เป็นระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงที่สุด ประเทศแม่แบบของระบอบประชาธิปไตย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังนิยมใช้อยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้เพราะจะมีพรรคการเมืองใหญ่ๆที่สำคัญเพียง สองพรรค ที่ผลักดันเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ หากพรรคใดพรรคหนึ่งได้รับคะแนนเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั่วไป หรือมีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติก็จะได้เป็นรัฐบาล
ระบบการมีพรรคการเมืองสองพรรคนี้ การขัดแย้งในนโยบายและอุดมการณ์ระหว่างพรรคการเมืองทั้งสองพรรคใหญ่มักไม่รุนแรง เป็นการขัดแย้งและยืดหยุ่นมีลักษณะประนีประนอมได้ ทั้งนี้เนื่องจากในการหาคะแนนเสียงทั้งสองพรรคจำต้องหาคะแนนเสียงให้ได้มากกว่าอีกพรรคหนึ่ง เพื่อที่จะได้เป็นรัฐบาล เพราะความหวังที่จะได้เป็นรัฐบาลนี้เท่าเทียมกันทั้งคู่ จึงต้องมีนโยบายที่ไม่ยืดหยุ่นแต่เฉพาะชนชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีนโยบายเป็นที่ยอมรับของชนกลุ่มต่างๆจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ข้อสังเกต พรรคการเมืองในระบบสองพรรคนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ในประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบการปกครองดีพอกับประชาชนมีการศึกษาที่ดี จึงสามารถที่จะนำมาเอาความคิดเห็นอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกันมารวมอยู่ด้วยกัน ไม่ให้เกิดการแตกแยกทางความคิดเห็นกันมากเกินไปจนกระจัดกระจาย เป็นพรรคเล็กพรรคน้อยจนกระทั่งรวมตัวกันไม่ติด
1.5.3 ระบบพรรคการเมืองหลายพรรค
ระบบพรรคการเมืองหลายพรรค (Multi – Party system) คือ การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีประชาชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกแยกกันมาก ต่างกลุ่มต่างจัดตั้งพรรคการเมืองกันขึ้นตามความคิดเห็นและความเห็นของตน จนกระทั่งเมื่อมีการเลือกตั้งขึ้นก็ไม่มีพรรคการเมืองใดเลยที่จะได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภาจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว จึงจำเป็นต้องไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่นมากกว่าหนึ่งพรรคขึ้นไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในรูปรัฐบาลผสม สาเหตุการแตกแยกทางความคิดเห็นนั้นเกิดขึ้นจากปัญหาหลายประการ อาทิเช่น เชื้อชาติ ศาสนา ฐานะหรืออาชีพ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งต่างก็ต้องการให้ชนเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะหรืออาชีพเดียวกันได้เข้าไปปกครองเสียงข้างมากในรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) เพื่อจัดตั้งรัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) หรือออกกฎหมายที่ส่งเสริมและพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของตน ระบบพรรคการเมืองหลายพรรคปรากฏอยู่หลายประเทศในยุโรป เช่น ในประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี เป็นต้น
ข้อสังเกต ระบบพรรคการเมืองหลายพรรค การแบ่งแยกอำนาจจะมีผลทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้เปรียบฝ่ายบริหาร การปฏิบัติของฝ่ายบริหารจะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง ถ้าหากฝ่ายบริหารสามารถรวมสียงข้างมากโดยเด็ดขาดในรัฐสภาไว้ได้ คือ หมายความว่ารัฐบาลเป็นรัฐบาลแบบผสมหลายพรรคการเมือง จนอีกฝ่ายหนึ่งมีเสียงข้างน้อย เป็นฝ่ายค้านซึ่งไม่สามารถทำอะไรฝ่ายบริหารได้เลย แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีพรรคการเมืองหลายพรรครวมกันอยู่ในรัฐบาล ก็เป็นการยากที่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายบริหารจะคุมเสียงข้างมากไว้ได้ตลอดไป เพราะหากเมื่อใดที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดเสียผลประโยชน์จากการปฏิบัติร่วมกันของฝ่ายบริหาร พรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะแยกตัวไม่สนับสนุนรัฐบาลทันที ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอนหรือต้องลาออกในที่สุด
ข้อสังเกต ระบบการเมืองหลายพรรคนั้นมีประเด็นที่น่าพิจารณาอีกเรื่องหนึ่ง คือ การที่พรรคการเมืองใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากที่สุดในรัฐบาลนั้น มิใช่จะต้องได้เป็นรัฐบาลเสมอไป พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงข้างน้อยที่สุดอาจจะรวมกับพรรคการเมืองอื่นๆหลายๆพรรค จนมีเสียงข้างมากโดยเด็ดขาดในรัฐบาล ประกอบกันเข้าจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ดังนั้นการที่ประเทศใดมีพรรคการเมืองระบบหลายพรรคเช่นนี้ จึงตกเป็นภาระหนักที่แต่ละพรรคจะต้องพยายามให้สมาชิกของพรรคได้รับการเลือกตั้งเข้ามาให้มากที่สุดจนถือเป็นเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยพรรคของตนเองเพียงพรรคเดียว

2.วิวัฒนาการพรรคการเมืองและกฎหมายพรรคการเมืองของประเทศไทย
เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นกระบวนการทางการเมืองอันหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งให้ประชาชนได้ใช้สิทธิใช้เสียงโดยผ่านการเลือกตั้ง ประกอบทั้งพรรคการเมืองต่างก็มีแนวนโยบาย วิธีการดำเนินการที่จะหาหนทางให้พรรคแต่ละพรรคได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนให้มากที่สุด จึงจำเป็นที่แต่ละประเทศจะต้องตรากฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมืองขึ้น เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆ ปฏิบัติการอยู่ในแบบแผนหรือกติกาอันเดียวกัน เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งของประชาชน การตรากฎหมายเกี่ยวกับเรื่องพรรคการเมืองนั้น อาจจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ แต่สวนใหญ่มักจะตราหลักการไว้ในรัฐธรรมนูญส่วนรายละเอียดมักจะบัญญัติไว้ในกฎหมายพรรคการเมืองซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแยกออกมาเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีสาระสำคัญดังนี้
1.ในการจัดตั้งและการจดทะเบียนพรรคการเมืองว่า ผู้จะขอจัดตั้งและจดทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมีคุณสมบัติและวิธีการปฏิบัติในการขอจัดตั้งและจดทะเบียนอย่างไร
2.การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองซึ่งเป็นหลักการบริหารภายในพรรคการเมือง ซึ่งได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการพรรค (กรรมการบริหารพรรคการเมือง) อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการอำนวยการพรรคการเมือง รวมทั้งการเงินของพรรค
3.การเลิกพรรคการเมืองโดยกำหนดกรณีที่เป็นสาเหตุให้ต้องยุบพรรคการเมืองเอาไว้ เช่น ยุบเลิกพรรคการเมืองตามคำพิพากษาของศาล (คำวินิจฉัยของศาล) มีสมาชิกลดลงน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด เลิกตามข้อบังคับของพรรคที่กำหนดไว้ เป็นต้น
4.บทกำหนดโทษ สำหรับที่พรรคการเมือง กรรมการอำนวยพรรคการเมือง (กรรมการบริหารพรรคการเมือง) สมาชิกของพรรคการเมือง ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายพรรคการเมือง
2.1 วิวัฒนาการพรรคการเมืองในประเทศไทย
พรรคการเมืองของประเทศไทยในยุคเริ่มต้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองนิยมที่จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อเป็นฐานอำนาจทางการเมืองของตน และเมื่อท่านเหล่านั้นหมดวาสนาลง พรรคการเมืองของท่านก็จะสลายตัวตามไปด้วย ในประวัติความเป็นมาของพรรคการเมืองนั้น ปรากฏของการจัดตั้งพรรคการเมืองจะเกิดขึ้นสลับกับการรัฐประหารและเมื่อมีการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อใด การจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานอำนาจทางการเมืองก็จะกลับมาปรากฏให้เห็นอีกเสมอ แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะปรากฏให้เห็นถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับพรรคการเมือง ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พรรคการเมือง แต่บทบัญญัติเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ซึ่งพรรคการเมืองมีประวัติความเป็นมาโดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
2.1.1 วิวัฒนาการพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
วิวัฒนาการพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้นเริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงมีพระราชดำริให้ทดลองใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบประชาธิปไตยขึ้นมาในเมืองจำลอง คือ เมืองดุสิตธานี ฐานันดรศักดิ์ทั้งหลายที่มีกันอยู่ จะไม่มีผลใดๆเมื่อเข้ามาในดุสิตธานีนี้ ซึ่งเป็นเมืองที่พลเมืองมีความเท่าเทียมกันมีการปกครองตนเอง โดยให้พลเมืองเลือกพรรคที่มีอยู่สองพรรคว่าพรรคใดควรจะเข้ามาทำหน้าที่บริหารเมืองดุสิตธานี แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าในการขนานนามของพรรคการเมืองทรงใช้สีเป็นตัวกำหนดทำนองเดียวกันกับสีตามโรงเรียนแทนที่จะใช้อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเครื่องกำหนด ทำให้การเมืองในเมืองจำลองแห่งนี้ไร้เป้าหมายหรือขาดชีวิตจิตใจโดยปริยายและดุสิตธานีก็ได้กลายเป็นเพียงโรงละครโรงหนึ่งในตำนานเท่านั้น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว) ในขณะที่ รัชกาลที่ 7 ยังทรงลังเลว่าจะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น (ซึ่งมีการกำหนดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 เมษายน 2475 อันเป็นวันครบรอบวันสถาปนาราชวงศ์จักรกรีครบ 150 ปี แต่เมื่อถึงวันดังกล่าวมิได้มีการประกาศใช้แต่อย่างใด) ได้มีการรวมกลุ่มทางการเมืองขึ้นอย่างลับๆทั้งๆที่ทรงมั่นพระทัยในประเด็นที่ว่า ในขณะนั้นคงจะไม่มีใครกล้าเอาชีวิตตนมาเป็นเดิมพันสำหรับความเชื่อมั่นในทางการเมืองของตนเองเป็นแน่ แต่ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรก็ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ
2.1.2 วิวัฒนาการพรรคการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 - 2498
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เกิดสภาวะของสุญญากาศทางการเมืองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งคณะราษฎรได้เข้ามาแทนที่ในส่วนที่เคยเป็นพระราชของพระมหากษัตริย์ และจากการที่ฝ่ายทหารในคณะราษฎรในขณะนั้นเป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการจัดองค์กรมากที่สุดในสังคม ฝ่ายทหารจึงอาศัยความได้เปรียบนี้เข้ากุมอำนาจทางการเมืองในที่สุด เดิมทีเดียวนั้น คณะราษฎรมีเพียงเป้าหมายร่วมกันในการที่จะเลิกระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จแล้ว จึงตระหนักในภารกิจของการรวมกลุ่มทางการเมืองของตน จึงได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นสมาคมคณะราษฎร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ซึ่งความจริงแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่ดี หากจะเปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นๆ ได้ดำเนินการทำนองเดียวกัน เพราะเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้มีการพัฒนาระบบพรรคการเมืองขึ้นมาได้ แต่อย่างไรก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เพราะกลุ่มอื่นภายใต้การนำของหลวงวิจิตรวาทการจะขอจัดตั้งคณะชาติมาบ้าง กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าสถานการณ์ยังไม่ให้อำนาจให้มีพรรคการเมืองได้หลายพรรคอาจทำให้ประชาชนสับสน และนักการเมืองที่เป็นนักฉวยโอกาสอาจสร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่ประชาชนได้
หลังจากที่ได้ปฏิเสธการจัดตั้งคณะชาติแล้ว รัฐบาลซึ่งประกอบไปด้วยขุนนางระบบเก่าก็พยายามจะจำกัดและตีกรอบให้สมาคมคณะราษฎรด้วย โดยประกาศเป็นกฎหมายลำดับรองไม่จ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการที่สมัครเป็นสมาชิกของสมาคมคณะราษฎร ความขัดแย้งในประเด็นนี้เมื่อประกอบกับเหตุการณ์เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของ นาย ปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม) รัฐบาลได้ประกาศปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญ ทำให้คณะราษฎรต้องกลับมายึดอำนาจอีกครั้งและหลังจากนั้นสมาคมคณะราษฎรก็ยุติบทบาทของตนเองลง โดยเกรงว่าหากมีการดำเนินการต่อไปจะทำให้กลุ่มอื่นโดยเฉพาะคณะชาติดำเนินรอยตาม ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการตัดสิทธิการเมืองของประชาชนในการที่จะจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ รัชกาลที่ 7 (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงสละราชสมบัติเพราะทรงไม่เห็นด้วย แม้ว่าคณะราษฎรจะเป็นกลุ่มการเมืองเพียงกลุ่มเดียวในขณะนั้น แต่ก็มีความแตกแยกภายในเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยความริเริ่มของ นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม) ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น สาระของรัฐธรรมนูญที่ได้มีแก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2489 นี้ ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิของชนชาวไทยในการตั้งคณะพรรคการเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489
แต่อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า การบัญญัติรับรองสิทธิในการตั้งคณะพรรคการเมืองเช่นนี้ เป็นเพียงการยอมรับสภาพความเป็นจริงเท่านั้น เพราะได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและจากการที่ไม่มีการวางเกณฑ์เกี่ยวกับพรรคการเมือง พรรคการเมืองจึงกลายเป็นเพียงฐานอำนาจทางการเมืองเพื่อการแสวงหาประโยชน์ จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ซึ่งเป็นการปิดฉากสำหรับยุคสั้นๆยุคแรกของการต่อสู้ทางการเมือง โดยอาศัยพรรคการเมืองเป็นฐาน เหตุการณ์หลังจากนั้นได้กลายเป็นเรื่องของการใช้กำลังในการตัดสินปัญหาทางการเมืองว่าใครควรจะเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของบ้านเมืองต่อไป พรรคการเมืองกลายเป็นเครื่องอำพรางการใช้กำลังเป็นอำนาจนั้นเท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ได้ใช้วิธีการ “ล้มกระดาน” ทำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 เพื่อขจัดบทบาทของพรรคการเมืองออกไป


2.2 กฎหมายพรรคการเมืองฉบับต่างๆของประเทศไทย
กฎหมายพรรคการเมืองไทยฉบับต่างๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีจำนวน 5 ฉบับด้วยกัน แต่ละฉบับจะมีรายละเอียดที่แต่งกัน ซึ่งสามารถสรุปอธิบายได้ดังนี้
2.2.1 พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2489
กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นกฎหมายพรรคการเมืองฉบับแรกของประเทศไทย มีวิวัฒนาการและหลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับดังกล่าว ดังนี้

2.2.1.1 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2489
วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2489 ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา 23 พรรค ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ซึ่งผลจากการเลือกตั้งครั้งนั้นปรากฏว่ามีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมีที่นั่งในสภา 8 พรรค และมีผู้สมัครอิสระได้รับเลือกตั้ง 13 คน หลังจากการเลือกตั้งครั้งนั้นแล้วได้มีผู้จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีก 7 พรรครวมเป็น 30 พรรค
ข้อสังเกต กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรคการเมืองดังเช่นปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการเลือกตั้งครั้งนั้นได้มีการกล่าวหากันว่า ดำเนินไปอย่างไม่บริสุทธิ์ มีการเดินขบวนของนักศึกษาเพื่อคัดค้านการเลือกตั้งในครั้งนั้น จากปัญหาเกี่ยวกับความชอบธรรมของการเลือกตั้งนั้นเองได้กลายมาเป็นข้ออ้างอย่างดีสำหรับการรัฐประหารของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 หลังจากนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้เจริญรอยตาม จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในการใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องอำพรางการใช้กำลังอำนาจ แต่ท้ายสุดก็ต้องล้มกระดานทำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501
2.2.1.2 หลักเกณฑ์สำคัญของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489
หลักเกณฑ์สำคัญของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้ที่ประสงค์จะดำเนินกิจกรรทางการเมือง ต้องจดทะเบียนพรรคการเมือง โดยจะต้องมีสมาชิกผู้ก่อตั้งเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวน 500 คนขึ้นไป หรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ในคำขอจดทะเบียนนั้นกฎหมายกำหนดให้ระบุรายละเอียดต่างๆ 5 ประการ รวมทั้งให้ส่งข้อบังคับว่าด้วยวิธีการจัดการพรรคการเมืองแนบไปด้วย
ข้อสังเกต พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 มิได้กำหนดรายละเอียดในเนื้อหาของสิ่งที่กฎหมายเรียกร้องนั้นๆทำให้ไม่มีเกณฑ์อันเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา
พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 กำหนดขั้นตอนการเยียวยา กรณีที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมจดทะเบียนพรรคการเมืองให้แก่ผู้ขอตามคำร้อง ผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นคำร้องขอ เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดได้ พรรคการเมืองที่จดทะเบียนแล้วมีสิทธิตามกฎหมาย ในการดำเนินการของพรรคการเมืองและกิจการอื่นให้เป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง ทั้งยังมีสิทธิรับเงินค่าบำรุงจากสมาชิกหรือรับบริจาคจากผู้มิสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งมีสถานที่ทำการเป็นของตนเอง
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับสถานะของพรรคการเมืองนั้น กฎหมายมิได้กำหนดให้พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคล แต่ก็สามารถเป็นโจทก์หรือจำเลยทางแพ่งในศาลได้ ในนามของพรรคการเมืองเองโดยมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้แทน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นกฎหมายว่าด้วยสมาคมจะไม่นำมาใช้บังคับกับพรรคการเมือง ส่วนการเพิกถอนการจดทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งทำให้พรรคการเมืองสิ้นสภาพของความเป็นพรรคการเมืองนั้นเป็นอำนาจของศาล
2.2.2 พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511
หลังจากที่ใช้เวลาในการร่างประมาณ 10 ปี ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2511 และรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการรวมกันเป็นพรรคการเมืองไว้ในมาตรา 37 โดยกำหนดให้การจัดตั้งและดำเนินการไปตามกฎหมายพรรคการเมือง ฉะนั้นในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2511 จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 ซึ่งมีวิวัฒนาการและหลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับดังกล่าว ดังนี้
2.2.2.1 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511
วิวัฒนาการของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2511 กฎหมายพรรคการเมืองฉบับนี้นับเป็นตัวอย่างซึ่งมีผลกระทบมาถึงกฎเกณฑ์สำหรับพรรคการเมืองในปัจจุบัน เพราะหลังจากที่มีการประกาศใช้กฎหมายนี้แล้ว ได้มีการขอจัดตั้งพรรคการเมือง 12 พรรค ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 และหลังจากการเลือกตั้งแล้วมีการจดทะเบียนเพิ่มเติมอีก 5 พรรค จากการเลือกตั้งในครั้งนั้นไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากพรรคแกนนำซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจเดิม จึงต้องพึ่งบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระ และมารวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองในภายหลัง กลายเป็นพรรคเฉพาะกิจและมีลักษณะของการเรียกร้องผลประโยชน์ จนจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลในขณะนั้นกระทำรัฐประหารตนเอง ยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514
2.2.2.2 หลักเกณฑ์สำคัญของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511
พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 มีหลักการที่ให้พรรคการเมืองต้องจดทะเบียน แต่วิธีในการขอจดทะเบียนในกฎหมายพรรคการเมืองนี้ปรากฏว่าใช้วิธีการทำนองเดียวกันกับการขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยแบ่งขั้นตอนเตรียมโดยบุคคลสัญชาติไทยที่บรรลุนิติภาวะแล้วจำนวนตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป หากประสงค์จะดำเนินกิจกรรมพรรคการเมืองจะต้องแจ้งนายทะเบียนเพื่อให้นายทะเบียนตรวจสอบหนังสือชี้ชวนบุคคลอื่นให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคและเมื่อเห็นว่าหนังสือชี้ชวนถูกต้องแล้ว ก็ให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองการแจ้งเมื่อสามารถรวบรวมสมาชิกได้ไม่น้อยกว่า 500 คนแล้ว จึงดำเนินการในขั้นตอนที่สองภายใน 1 ปี หลังจากนั้น คือ ขั้นตอนการขอจดทะเบียน ซึ่งผู้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมีเอกสารตามที่ระบุในมาตรา 10 และ 11 ประกอบไปด้วย เป็นต้นว่า มีบัญชีรายชื่อของสมาชิกพรรคการเมือง 500 คน ซึ่งระบุรายละเอียดในส่วนของชื่อ อาชี ที่อยู่และลายมือชื่อ นอกจากนี้ยังต้องแนบรายละเอียดเกี่ยวกับข้อบังคับพรรคการเมือง ซึ่งปรากฏระบุประเด็นที่จะต้องมี กำหนดไว้ในข้อบังคับ 9 เรื่องด้วยกัน โดยมิได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานไว้ในแต่ละประเด็นเช่นเดิม
หากนายทะเบียนไม่รับรองหรือไม่ยอมจดไม่รับจดทะเบียนพรรคการเมือง คณะผู้ริเริ่มก็สามารถยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้ เช่นเดียวกับกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2489 และเมื่อจดทะเบียนแล้วพรรคการเมืองจะมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่อย่างไรก็ตามนายทะเบียนมีอำนาจตามกฎหมายที่ควบคุมพรรคการเมืองได้ ถึงขนาดที่หากมีการฝ่าฝืนคำสั่งของนายทะเบียนก็สามารถสั่งให้คณะกรรมการอำนายการของพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลได้ นอกจากนี้แล้วบทบัญญัติที่มีเพิ่มเติมขึ้นมาจากกฎหมายเดิมก็คือ บัญญัติให้เลิกพรรคการเมือง เมื่อไม่มีสมาชิกของพรรคการเมืองนั้นๆได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งติดต่อกัน การวางเกณฑ์เช่นนี้ทำให้สถานะของความเป็นพรรคการเมืองขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของการลงเลือกตั้งซึ่งเป็นการเรียกร้องจากพรรคการเมืองมากเกินไป ซึ่งความจริงแล้วการลงสมัครรับเลือกตั้งน่าจะเป็นการปฏิบัติภารกิจที่เพียงพอแล้ว สำหรับความเป็นพรรคการเมืองในตอนท้ายของพระราชบัญญัติมีการกำหนดบทลงโทษผู้ทำการอย่างพรรคการเมือง โดยไม่จดทะเบียนเป็นโทษจำคุกและปรับ
2.2.3 พระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับ พ.ศ. 2517
กฎหมายพรรคการเมืองฉบับนี้เกิดจากผลพวงของการเรียกร้องประชาธิปไตยจนเกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางหลักเกณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง คือ กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมืองและกำหนดเป็นคุณสมบัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ต้องมีพรรคสังกัด ซึ่งเป็นการสรุปบทเรียนจากพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สมัครเข้ามาโดยไม่สังกัดพรรค และเพื่อเป็นการอนุวัติตามรัฐธรรมนูญได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2517 ซึ่งมีวิวัฒนาการและหลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับดังกล่าว ดังนี้
2.2.3.1 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517
วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517 การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง ทำให้นักการเมืองเดิมต้องหาพรรคการเมืองเพื่อเข้าสังกัด หรือมิฉะนั้นก็จะต้องจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเอง และด้วยสาเหตุประการหลังนี้ทำให้จำนวนพรรคการเมืองที่จดทะเบียนมีมากถึง 56 พรรค จนมีปัญหาเรื่องการแย่งชื่อพรรคกัน และนโยบายของแต่ละพรรคแทบจะไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการสืบทอดแนวปฏิบัติดั้งเดิมของการตั้งพรรคการเมือง คือ เพื่อเข้ามาเสริมบารมีของผู้ก่อตั้งหรือหัวหน้าพรรค
แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะนั้นพรรคประชาธิปัตย์เริ่มที่จะพัฒนาสลัดคราบดั้งเดิม โดยดำเนินการขยายการดำเนินการทางการเมืองลงไปในพื้นที่ต่างๆมากขึ้นเพียง 3 เดือนหลังจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์มีสาขาพรรคแล้วถึง 66 สาขาและมีสมาชิกพรรคถึงประมาณ 120,000 คน แต่พัฒนาการดังกล่าวก็ถูกหยุดยั้ง
โดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
2.2.3.2 หลักเกณฑ์สำคัญพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517
หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517 มีความคล้ายคลึงกับกฎหมายเดิมอยู่เดิมมาก จึงนำเสนอเฉพาะหลักการใหม่และส่วนที่แตกต่างออกไปเท่านั้น กล่าวคือ มีการเพิ่มจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองก่อนขอจดทะเบียนจะต้องมีไม่น้อยกว่า 1,000 คน และหากมีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับการใช้ชื่อพรรคการเมือง กฎหมายกำหนดวิธีการให้ศาลฎีกาให้ศาลเป็นผู้สั่ง มีการเพิ่มโทษผู้ดำเนินการของพรรคการเมืองโดยไม่จดทะเบียนเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับนอกจากนี้แล้ว การไม่มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งไม่เป็นสาเหตุให้ต้องเลิกพรรคตามกฎหมายฉบับนี้
2.2.4 กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2524
หลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 แล้ว โฉมหน้าของพรรคการเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงให้ต้องมีความผูกพันกับทุนทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เล็งเห็นว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นจะต้องมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง จึงเรียกร้องให้พรรคการเมืองต้องมีฐานที่กว้างขึ้นและกำหนดจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคจะต้องส่งในการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้ง นอกจากนี้ยังบัญญัติให้พรรคการเมืองต้องจัดทำบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2517 ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองต้องแสดงที่มาของรายได้และการใช้จ่ายโดยเปิดเผย และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524 ซึ่งได้รับการแก้ไขเติมเติมเล็กน้อยเมื่อปี พ.ศ.2535 เพื่อเป็นการอนุวัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 การที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) มิได้ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมืองหลังจากที่ได้กระทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับความยืนยาวของระบบพรรคการเมืองไทย หลังจากที่ต้องมีการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เมื่อมีการรัฐประหาร ดังเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ได้พิจารณามาแล้ว ซึ่งมีวิวัฒนาการและหักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับดังกล่าว ดังนี้
2.2.4.1 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524
วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 จากการที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องมีฐานสมาชิกกว้างขึ้นและต้องส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งให้ครบจำนวน 120 คน ซึ่งจะต้องเสียค่าสมัครคนละ 10,000 บาท และจะถูกยุบพรรคหากไม่มีสมาชิกของพรรคได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้พรรคการเมืองเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่มีทุนมหาศาลเท่านั้น ปรากฏว่ามีการซื้อเสียงขายสิทธิในการเลือกตั้งจึงเกิดขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้องมีการถอนทุนคืน จนเป็นสาเหตุหนึ่งของการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ. 2538 แล้ว จุดอ่อนเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขทำให้อนาคตของพรรคการเมืองและระบบการเมืองไทยยังอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วงต่อไปและเป็นประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
2.2.4.2 หลักเกณฑ์สำคัญของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524
หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมาย จากการที่รัฐธรรมนูญต้องการส่งเสริมให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งในระยะเวลาอันสั้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเกี่ยวกับการจดทะเบียนพรรคการเมือง โดยกำหนดให้มีสมาชิกก่อตั้งอย่างน้อย 5,000 คน และสมาชิกเหล่านี้จะต้องมีลักษณะกระจายไปตามภาคต่างๆ ทั้งยังในการตั้งสาขาพรรคให้ต้องมีสมาชิกตั้ง 100 คนขึ้นไป ในส่วนของการเลิกพรรคการเมืองนั้น พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524 มีลักษณะถอยหลังเข้าคลองจากพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517 เพราะเพิ่มกรณีเข้าข่ายต้องเลิกพรรคขึ้นมา เพราะหากไม่ส่งหรือส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปไม่ถึง 120 คนหรือไม่มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป ก็ต้องเลิกพรรค
2.2.5 กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2541
กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งมีวิวัฒนาการและหลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมืองฉบับดังกล่าว ดังนี้
2.2.5.1 วิวัฒนาการของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541
วิวัฒนการของกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2541รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย” ได้นำแนวความคิดจากทางกฎหมายพื้นฐานของประเทศเยอรมนีค่อนข้างมาก ในเรื่องของพรรคการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลจากกฎหมายพื้นฐานของประเทศเยอรมนี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติคุ้มครองเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองไว้และกฎหมายเลือกตั้ง คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 254 ก็บัญญัติให้การจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นไปได้ง่ายกว่ากฎหมายพรรคการเมืองพ.ศ. 2524
2.2.5.2 หลักเกณฑ์สำคัญของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541
หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมือง หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายพรรคการเมือง นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองโดยบัญญัติรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมือง รวมทั้งให้มีการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมือง คือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาขยายรายละเอียดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีดังนี้
1. เสรีภาพของประชาชนในการจัดตั้งพรรคการเมือง ย่อมเป็นหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นไปได้โดยง่ายมากขึ้น แต่บทบาทพรรคการเมืองก็ยังคงมีลักษณะผูกขาดอยู่เช่นเดิม โทษสำหรับผู้ที่ดำเนินกิจกรรมทางพรรคการเมืองโดยไม่จดทะเบียนพรรคการเมืองก็ยังคงอยู่ดังเช่นกฎหมายพรรคการเมืองฉบับก่อนๆ เพียงแต่โทษดังกล่าวลดลงจากจำคุกไม่เกิน 10 ปี เหลือเพียงไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
2. สถานะและเสถียรภาพของพรรคการเมือง เนื่องจากการกปกครองในระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองเป็นสื่อกลางที่สำคัญในปัจจุบัน เสถียรภาพของพรรคการเมืองจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถสร้างความเป็นตัวเองสมกับสถานะของความเป็นนิติบุคคลที่สมควรจะมีเอกลักษณ์ของตนเองได้
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ให้หลักประกันแก่พรรคการเมืองได้มากขึ้นมากกว่าแต่ก่อน โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 65 กำหนดว่า กรณีที่ยุบพรรคการเมืองได้ให้นายทะเบียนการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ทำหน้าที่สั่งยุบพรรคการเมือง เมื่อเห็นว่ามีเหตุเกิดขึ้นตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 65 (1) ถึง (5) จริงตามคำร้อง
แต่อย่างไรก็ตามยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยุบพรรคตามมาตรา 66 (4) ให้ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมือง หากมีการกระทำที่ฝ่าฝืน มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายพรรคการเมืองห้ามมิให้พรรคการเมืองรับบุคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดเข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดๆในพรรคการเมือง หรือยอมให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง
3. การกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง คือ กำหนด ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง และยังได้บัญญัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสูญเสียสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หากลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกหรือพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น
2.2.6 กฎหมายพรรคการเมืองในปัจจุบัน
กฎหมายพรรคการเมืองในปัจจุบันหลังที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้มีตรากฎหมายที่ขยายรายละเอียดในรัฐธรรมนูญ คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มีสาระสำคัญดังนี้
2.2.6.1 หลักเกณฑ์การจัดตั้งพรรคการเมือง
หลักเกณฑ์การจัดตั้งพรรคการเมืองการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมและเป็นหลักประกันการจัดตั้งทางการเมืองสำหรับคนไทย ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 65 ดังนี้
“ มาตรา 65 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้นตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
การจัดองค์กรภายใน การดำเนินกิจการและข้อบังคับของพรรคการเมือง ต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองตามจำนวนที่กำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว้าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเห็นว่ามติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่นั้นขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าวขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มติข้อบังคับนั้นเป็นอันยกเลิกไป”
2.2.6.2 ขั้นตอนการจัดตั้งพรรคการเมือง
ขั้นตอนการจัดตั้งพรรคการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ได้กำหนดขั้นตอนการจัดตั้งพรรคการเมือง ดังนี้
1. ผู้ที่จะรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองจะต้องมีคุณสมบัติ ต่อไปนี้
1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2) มีสัญญาชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ไม่น้อยกว่า 5 ปี
3) อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
4) ไม่มีลักษณะต้องห้ามให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
2. ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองต้องจัดให้มีการประชุมจัดตั้งพรรคการเมืองก่อนยื่นคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองดังนี้
1) ต้องมีผู้จัดตั้งพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า15 คน
2)กิจกรรมที่ต้องดำเนินการในที่ประชุมอย่างน้อยต้องประกอบด้วย การกำหนดนโยบายพรรคการเมือง การกำหนดข้อบังคับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง
3. ผู้ที่ไดรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองยื่นคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พร้อมเอกสารประกอบดังนี้
1)นโยบายพรรคการเมือง
2)ข้อบังคับพรรคการเมือง
3)บัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของพรรคการเมือง
4) หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่เป็นที่ทำการพรรคการเมืองซึ่งต้องอยู่ในราชอาณาจักร
5) สำเนารายงานการประชุมตั้งพรรคการเมือง
4. เมื่อได้รับคำขอจัดตั้งพรรคการเมือง นายทะเบียนพรรคการเมือง(ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง)ได้ตรวจสอบในเรื่องดังต่อไปนี้
1)ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามและมีผู้จัดตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คน
2) ชื่อ ชื่อย่อ ภาพเครื่องหมายพรรคการเมือง นโยบายและข้อบังคับพรรคการเมือง ต้องไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3)เอกสารขอจัดตั้งพรรคการเมืองต้องมีรายการครบถ้วน คือ คำขอเป็นไปตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดและข้อบังคับพรรคมีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
4)คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องมีคุณสมบัติที่กำหนดไว้ คือ อายุ 20 ปี บริบูรณ์ มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
5)ชื่อพรรคการเมืองและภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองไม่ซ้ำหรือพ้องหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองของผู้จัดตั้งพรรคการเมืองอื่นที่ยื่นคำขอไว้หรือของพรรคการเมืองอื่นที่นายทะเบียนได้รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองไว้ก่อนแล้ว
5. การสั่งการของนายทะเบียนพรรคการเมือง อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้
1)ในกรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องและครบถ้วนจะแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองและประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองในราชกิจจานุเบกษาและให้พรรคการเมืองที่นายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งแล้วเป็นนิติบุคคล
2)ในกรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าคุณสมบัติหรือจำนวนของผู้จัดตั้งพรรคการเมืองหรือนโยบายพรรคและข้อบังคับพรรคหรือคุณสมบัติของคณะกรรมการบริหารพรรค หรือชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นายทะเบียนพรรคการเมืองจะสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองและแจ้งเป็นหนังสือพร้อมทั้งเหตุผลให้ผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอจัดตั้งพรรคการเมือง
3)ในกรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าเอกสารการขอจัดตั้งพรรคการเมืองมีรายการไม่ครบถ้วน หรือมีข้อความไม่ชัดเจนหรือบกพร่อง จะแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ขอจัดตั้งทราบภายใน 7 วัน เพื่อดำเนินการแก้ไขหากผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองแก้ไขเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลา ก็จะรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง ถ้าผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองไม่ดำเนินการแก้ไขหรือแก้ไขไม่ถูกต้อง นายทะเบียนพรรคการเมืองจะสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองและแจ้งเป็นหนังสือให้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองทราบภายใน 7 วัน
4)ในกรณีที่มีผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งมีชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายซ้ำ หรือพ้องหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกันและยื่นคำขอจัดตั้งพรรคการเมืองในวันเดียวกัน นายทะเบียนพรรคการเมืองจะสั่งให้ผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองทำความตกลงกันว่าผู้ใดจะเป็นผู้มีสิทธิใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้น เมื่อได้ตกลงกันประการใดแล้ว นายทะเบียนพรรคจะรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองตามที่ได้ตกลงกันไว้
5)ในกรณีผู้จัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องยืนยันไม่ยอมตกลงกันหรือยังตกลงกันไม่ได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะพิจารณารับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองจากผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองที่เห็นว่ามีสิทธิที่จะใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายนั้นดีกว่า
6)ในกรณีที่ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้นเป็นชื่อหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองที่ไม่เคยมีการใช้มาก่อนและตกลงกันไม่ได้ ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการจับสลากโดยเปิดเผยเพื่อให้ได้ผู้มีสิทธิใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้น
7)ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งการรับจัดแจ้งพรรคการเมืองตาม ข้อ 5)และข้อ 6) เป็นหนังสือไปยังผู้ขอจัดตั้งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่รับจดแจ้งการจัดตั้ง
6.การโต้แย้งคำสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองของนายทะเบียนพรรคการเมือง มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยชี้ขาดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง


2.2.6.3 การสิ้นสภาพ การยกเลิกและการยุบพรรคการเมือง
การสิ้นสภาพ การยกเลิกและการยุบพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มีสาระสำคัญดังนี้
1. การสิ้นสภาพพรรคการเมือง พรรคการการเมืองย่อมสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองด้วยเหตุใด เหตุหนึ่งดังนี้
1) ไม่สามารถดำเนินการได้ตาม ม. 26 คือ ภายในหนึ่งพรรคการเมืองต้องรับสมาชิกให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คนและมีสาขาพรรคการเมืองอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา
2 )ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งติดต่อกันหรือเป็นเวลา 8 ปี ติดต่อกัน สุดแต่ระยะเวลาใดยาวกว่ากัน
3) มีจำนวนสมาชิกเหลือไม่ถึง 5,000 คน เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี
4) ไม่มีการเรียกประชุมใหญ่พรรคการเมืองหรือไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดทางการเมืองเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี
2. การเลิกพรรคการเมือง พรรคการเมืองย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1) มีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง
2) มีการควบรวมพรรค
3. การยุบพรรคการเมือง นั้นพรรคการเมืองจะถูกยุบพรรคการเมืองได้ในกรณีดังต่อไปนี้
1) ในกรณีที่พรรคการเมืองใดมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมืองแต่พรรคการเมืองนั้นยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่หรือในกรณีที่พรรคการเมืองไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม ม.82
เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามข้างต้น ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ให้ศาลรัฐธรรมสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น
2) ในกรณีที่พรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง ดั้งนี้
(1) ทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการตามที่รัฐธรรมนูญให้ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีดังกล่าว
(2) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
(3) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
(4) กระทำอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรหรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ
(5) กระทำการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ดังต่อไปนี้
ก. ฝ่าฝืนตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง คือ การรับบุคคลที่ไม่ใช่สัญชาติเป็นสมาชิกพรรค
ข. ฝ่าฝืนมาตรา 43 คือ การเข้าไปช่วยเหลือหรือรับเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ค. ฝ่าฝืนมาตรา 65 คือ การรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดอันเป็นการคำนวณได้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ง. ฝ่าฝืนมาตรา 66 คือ การเข้าไปสนับสนุนอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง ราชบัลลังก์หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
จ. ฝ่าฝืนมาตรา 69 คือ การรับบริจาคเงินจากบุคคลที่ไม่ใช่สัญชาติไทย
ฉ. ฝ่าฝืนมาตรา 104 คือ สมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อให้บุคคลอื่นหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าพรรคการเมืองอื่นหรือบุคคลใดกระทำความผิด
เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าพรรคการเมืองใดกระทำความผิดตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนโดยความเห็นคณะกรรมการเลือกตั้งแจ้งต่ออัยการสูงสุด พร้อมด้วยหลักฐาน เมื่ออัยการสูงสุดได้รับแจ้งให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควร ก็ให้ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว
ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้นายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินยื่นคำร้องเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้องได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่แต่งตั้งคณะทำงาน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเอง
หากนายทะเบียนเห็นสมควรจะให้ระงับการดำเนินการของพรรคการเมืองซึ่งกระทำการตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งต่ออัยการสูงสุดขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการกระทำดังกล่าวของพรรคการเมืองไว้ชั่วคราว
3) เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา และห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองซ้ำ หรือพ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการดำเนินกิจการทางการเมืองหรือประโยชน์อื่นใดในทำนองเดียวกัน


หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ “กฎหมายพรรคการเมืองของไทยและเยอรมัน” กรุงเทพฯ : สถาบันนโยบาย
ศึกษา,2543
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts